รู้หรือไม่! สิวสเตียรอยด์ และสิวฮอร์โมนต่างกันอย่างไร?

0
2016

สิวสเตียรอยด์และสิวฮอร์โมนต่างกันอย่างไร?

สิวสเตียรอยด์เป็นยังไง รู้ก่อนรู้ไว รักษาหายขาดได้ 

สิวสเตียรอยด์ ทำไม สิวสเตียรอยด์ เป็นเรื่องยอดฮิตของวัยรุ่นที่ใช้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เอง ปัญหาสิว ถือเป็นปัญหากังวลใจของวัย หนุ่มๆสาวๆ ทั้ง สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวผด สิวฮอร์โมน รวมถึง เจ้า “สิวสเตียรอยด์” ปัญหายอดฮิตของวัยรุ่น ที่รักษายังไงก็ไม่หายสักที
 
เพียงเพราะเริ่มจาก อยากหน้าใสตาม เซเลบ ดารา เชื่อรีวิวต่างๆและจากคำโฆษณา ว่าทำให้หน้าใสแบบเร่งด่วนได้ โดยขาดการพิจารณาให้ดี แยกแยะไม่ได้ หรือ ดูไม่ออกว่าโฆษณาเกินจริง แล้วดันไปหลงเชื่อ ซื้อผลิตภัณฑ์มาลองกับตัวเอง พอเริ่มใช้ไปช่วงแรก หน้าขาวใส เร็วทันตา แต่พอใช้ไปสักพัก หรือ หยุดใช้ แล้วมีอาการ “หน้าพัง” สิวเห่อ
ยิ่งในยุคโควิด ที่เหมือนบังคับให้เราอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหน จากปกติเคยซื้อครีมจากคลินิกหรือร้านความงามตามห้างที่ยังพอจะมีมาตรฐานอยู่บ้าง เปลี่ยนมาสะดวกซื้อ ครีมออนไลน์ ยิ่งเสี่ยงที่จะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี สารสเตียรอยด์ ใส่เข้าไปบนหน้าโดยไม่รู้ตัว จนเป็นสาเหตุของการเกิด สิวสเตียรอยด์ได้

สิวสเตียรอยด์ คือ อะไร ?

สิวเสตียรอยด์ คือ ภาวะที่มีอาการ สิว เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ โดยปกติจะเกิดในผู้ที่ได้รับ สารเสตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน มาถึงตรงนี้ คงเกิดคำถามว่า แล้ว สเตียรอยด์ คืออะไร ก่อนอื่น หมอจะอธิบายเกี่ยวกับ การใช้ ยาเสตียรอยด์ ในวงการแพทย์ก่อนนะคะ

เสตียรอยด์ คือ ชื่อสั้นๆของ ยากลุ่ม corticosteroid ซึ่งยากลุ่มนี้ จะมีฤทธิ์ ต้านการอักเสบ ได้ทั่วร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า วงการแพทย์ นำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาอาการอักเสบ หรือ กดภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติมากมาย

รูปแบบของ เสตียรอยด์ มี 3 แบบ คือ ฉีด กิน และ ทา

ถ้าใช้เสตียรอยด์ในปริมาณไม่มาก ไม่ต่อเนื่องนานๆ มักไม่มีอาการข้างเคียง แต่ ถ้าได้รับเสตียรอยด์ปริมาณสูง ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายแน่นอน และหลายประการด้วย เช่น บวม กระดูกพรุน แผลทางเดินอาหาร ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ ผิวหนังบาง เหี่ยวย่น เป็นสิวเป็นผื่น เป็นต้น

การเจ็บป่วยบางอย่าง รักษาด้วยเสตียรอยด์เป็นเรื่องดี แต่จะมีบางที ที่เราไม่ได้เจ็บป่วย แต่เผลอได้รับเสตียรอยด์โดยไม่รู้ตัว แต่พอกินต่อเนื่องไปนานๆจะมีผลข้างเคียงได้ โดยอาการมักจะเป็นรูปแบบของอาการระบบอื่นๆทั่วร่างกาย

มาถึงเจ้าปัญหา สิวเสตียรอยด์ กันบ้าง ซึ่ง ปัจจุบัน กระแสอยากผิวสวยผิวขาวมาแรง จึงทำให้ผู้ผลิตอาจมีการแอบผสม เสตียรอยด์ชนิดทา ในผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวต่างๆ เช่น ครีมทาผิว ครีมหน้าใส ครีมหน้าขาว สบู่ล้างหน้า ครีมกันแดด ยารักษาสิว ยาแต้มสิว ต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคพอใจ รู้สึกเห็นผลรวดเร็ว ทำให้มี คนใช้แล้วหน้าใส สิวฝ้าจางทันใจ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พอใช้ต่อเนื่อง จนตกเป็นเหยื่อของเสตียรอยด์ ก็เริ่มมีอาการผิดปกติที่ผิวหนังตามมา

อาการที่เกิดจากการใช้ครีมสเตียรอยด์ที่หน้า มีอะไรบ้าง

อาการที่เกิดจากการใช้ ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

ผิว ติด สเตียรอยด์

การใช้ สเตียรอยด์สำหรับทาผิวต่อเนื่อง เป็นเวลานานๆ ให้สังเกตอาการที่บ่งบอกว่า ต้องใช้สเตียรอยด์อยู่เรื่อยๆ เพื่อคงการรักษาสภาพไว้ ไม่สามารถหยุดได้ พอหยุดแล้ว จะมีอาการต่างๆกลับมา สังเกตดีๆช่วงที่หยุด จะมีอาการผิวแดงๆ คล้ายไหม้แดด ผิวแห้งลอก ระคายเคืองง่าย ผิวหนังอักเสบ

เป็น สิว สเตียรอยด์
สิวสเตียรอยด์ คือ ภาวะของกลุ่มอาการทางผิวหนังที่มีอาการ เป็นผื่นคล้ายสิว ภาษาอังกฤษเรียกกลุ่มอาการแบบนี้ว่า Acneiform Eruption ซึ่งกลุ่มอาการนี้ จะเรียกว่าอาการสิวอย่างเดียวก็ไม่ใช่ค่ะ เพราะ เป็นกลุ่มอาการที่มีทั้ง เป็นสิวแบบสิวแท้(Acne Vulgaris) รวมถึง อาการอื่นๆที่คล้ายสิว โดยมีสาเหตุมาจากการใช้สเตียรอยด์แบบทาเฉพาะที่ โดยปริมาณสูงในช่วงสั้นๆ หรืออาจปริมาณน้อยแต่ระยะเวลานาน ก็ได้
  • อาการอื่นๆที่คล้ายสิว ได้แก่ รูขุมขนอักเสบ(Malazzesia Folliculitis) และ ภาวะโรซาเชีย(Rosacea)
  • จะเห็นว่าลักษณะสิวสเตียรอยด์ มีหลายแบบทั้งสิวแท้ และ อาการที่คล้ายสิว แต่ทั้งหมดนี้เรารวมๆเรียกให้เข้าใจง่ายว่า  สิวสเตียรอยด์
  • สิวเสตียรอยด์ อาจเกิดได้ ในช่วงที่กำลังใช้สเตียรอยด์อยู่ หรือ เกิดหลังจากหยุดสเตียรอยด์ ไปแล้วก็ได้

สิวสเตียรอยด์

อาการสิวสเตียรอยด์ หรือ ที่เรียกว่าผื่นคล้ายสิว มีหลายแบบ โดยรวมๆ คือ มีอาการ สิว ตุ่มแดง ตุ่มหนอง อาจคัน ร่วมด้วย ซึ่งจะมี รายละเอียดจะค่อนข้าง ซับซ้อน แต่อยากเข้าใจให้ หมออธิบายเพิ่มเติม ประเภทต่างๆของ สิวสเตียรอยด์

  • สิวแท้

สิวที่มีการเกิดการอุดตันของรูขุมขน แต่ กลไกการเกิดสิวจะต่างจากสิวทั่วไปตรงที่ถ้าเป็นสิวทั่วไปจะเกิดจากการที่มีน้ำมันอุดตันอยู่ในรูขุมขนมากเกิน บวกกับมีสิ่งสกปรกอุดตันที่ผิว เกิดรวมเป็นคอมิโดนหรือสิวอุดตัน แล้วขยายขนาดขึ้นเป็นหัวสิว ขนาดเล็กใหญ่หลายขนาด และถ้ามีเชื้อแบคทีเรียมากเกิน ก็จะกระตุ้นให้เกิดเป็นสิวอักเสบ บวมกดเจ็บได้แต่ สิวสเตียรอยด์ จะเริ่มเกิดจากมีการอักเสบของเซลล์บุรูขุมขนพร้อมกัน และของเสียถูกขับออกมารวมกับน้ำมัน เกิดการอุดตัน ทำให้เกิดเป็นสิวสเตียรอยด์ด้วยกลไกที่เกิดต่างกันนี้จึงทำให้อาการของ สิวสเตียรอยด์แตกต่างจากสิวทั่วไป ตรงที่

สิวสเตียรอยด์ จะมีลักษณะเป็นปื้น กระจุก ประทุทุกรูขุมขน ทุกเม็ดจะดูคล้ายกันขนาดเท่ากัน ไม่ขึ้นกับระยะสิว ต่างจากสิวปกติ ที่จะมีหัวปิด หัวเปิด และขนาดปะปนกันขึ้นกับระยะของสิว

  • รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา

มีชื่อเรียกอื่นๆว่าสิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา หรือ สิวเทียม คือ ตุ่มคล้ายสิว ที่กลไกการเกิด จากการที่สเตียรอยด์ไปกดภูมิ ภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังจึงเสียสมดุล ทำให้เชื้อราประจำถิ่น ซึ่งโดยปกติเรามีเชื้อนี้ที่ผิวอยู่แล้ว แต่ไม่ทำให้มีอาการผิดปกติ แต่ถ้ามีการเติบโตเพิ่มจำนวนมากเกิน จะกระตุ้นรูขุมขนให้อักเสบและติดเชื้อได้ค่ะ

อาการของ รูขุมขนอักเสบ คือ มีเป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง และ มีอาการคันร่วมด้วย

  • ภาวะ โรซาเซียจากสเตียรอยด์

คือ อาการ ตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง คล้ายรูขุมขนอักเสบ แต่จะตุ่มขนาดใหญ่กว่า โดยเกิดในบริเวณตำแหน่ง หัวคิ้ว รอบจมูกและรอบริมฝีปาก จะมีอาการผิวแดงขึ้น เวลาอากาศร้อน มีอาการคันร่วมด้วย บางครั้ง จะเห็นริ้วๆ ของเส้นเลือดฝอยร่วมด้วย

สาเหตุเกิดจาก การใช้สเตียรอยด์ ทำให้ภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังเสียสมดุล ทำให้ เชื้อไรรูขุมขน ที่เรียกว่า Dermodex มีการเติบโตมากเกิน และ นอกจากนี้ สเตียรอยด์ยังทำให้มีการสร้างเส้นเลือดฝอยที่ผิวหนังมากขึ้น จึงทำให้มีอาการโรซาเซียเกิดขึ้น

การใช้เสตียรอยด์ มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิต้านทานของผิวหนังต่ำลง จึงเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ง่าย

ซึ่งเชื้อต่างๆ เป็นเชื้อที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทำให้เกิดอาการแต่พอมีภาวะภูมิต้านทานต่ำ จึงเชื้อมีมากเกินปกติ เชื้อต่างๆ ได้แก่ แบคทีเรีย , เชื้อรา , ไรรูขุมขน สิวสเตียรอยด์ จึงมีหลายแบบขึ้นกับชนิดของเชื้อที่ติดร่วมด้วย ถ้าเป็นแบคทีเรีย จะมีสิวอักเสบบวมกดเจ็บ แต่ถ้าเป็นเชื้อราและไรรูขุมขนจะมีอาการคัน

สิวฮอร์โมนที่หน้า

สิวฮอร์โมน เกิดจาก ฮอร์โมนกระตุ้นทำให้ต่อมไขมันทำงานสร้างน้ำมันมากขึ้น จึงทำให้รูขุมขนอุดตัน มีการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

สิวฮอร์โมน จะมีทั้งอุดตันและอักเสบปนๆกัน ขนาดของสิวแต่ละเม็ดจะต่างกันโดยมีทั้งเล็กใหญ่ กระจายทั่วบริเวณ มักขึ้นตามบริเวณที่ผิวมันมาก เช่น ทีโซน

สิวฮอร์โมน ถ้ามีการอักเสบ จะบวมเจ็บ

สิวสเตียรอยด์ที่หน้า

สิวสเตียรอยด์ เกิดจาก การใช้ผลิตภัณฑ์ผิวหน้าที่มีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม ไปกดภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังให้มีการเสียสมดุล เกิดการอักเสบของรูขุมขน เชื้อต้นเหตุเป็นได้ทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา ไรรูขุมขน

สิวสเตียรอยด์ อาจเป็นได้ทั้งสิวอุดตันหรืออักเสบก็ได้ แต่จะมีลักษณะเฉพาะคือ สิวทุกๆเม็ดจะเป็นสิวระยะเดียวกัน ถ้าเป็นอุดตันก็จะหัวสิวอุดตันขนาดเท่าๆกัน หรือถ้าเป็นอักเสบ ก็จะเป็นเม็ดอักเสบขนาดเท่าๆกัน และมักขึ้นเป็นปื้นๆ คล้ายผื่น กระจุกอยู่รูขุมขนที่ติดๆกัน เป็นได้ทั่วทั้งใบหน้า

สิวสเตียรอยด์ อาจมีทั้งอาการบวมเจ็บ และคัน

สิวสเตียรอยด์ที่หน้า ไม่อยากเป็น ควรเลี่ยงอะไรบ้าง ?

จะเห็นว่า ผลจากการใช้สเตียรอยด์ที่หน้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับผิวหน้ามากมายโดยเฉพาะการเป็น สิวสเตียรอยด์ ถึงกู้ผิวให้กลับมาได้ แต่ก็อาจไม่เหมือนเดิม จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเสี่ยงที่จะใช้ แต่ คำถาม คือ เราควรต้องเลี่ยงหรือระมัดระวังการใช้อะไรบ้าง

ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ “ไม่ควร”เลือกซื้อ

  1. ครีมที่ขายในอินเตอร์เนท ทั้งเฟสบุค ไอจี และอีกมากมาย ทั้งครีมบำรุง ครีมกันแดด เซรั่ม มาร์คหน้า สบู่ แก้สิว ผิวขาว หน้าใส ลบรอยแผลเป็น อีกมากมาย
  2. บอกสรรพคุณว่า เห็นผลครั้งแรกที่ใช้ , เห็นผลในขวดเดียว, เห็นผลใน7วัน
  3. บอกว่าช่วยได้มากมาย ทั้งหน้าใส ลดสิว ลดฝ้า ในขวดเดียว
  4. มีรีวิวต่างๆ ก่อนหลังแบบดีขึ้นเป็นคนละคน
  5. ถึงแม้ครีมที่ขายในเน็ต จะมีบอกว่า ผ่าน อย. หรือ มีบอกส่วนผสมชัดเจน แต่ก็ต้องระวังไว้ว่า บางที ตอนขอจด อย. ก็แจ้งส่วนผสมที่ใช้อย่างนึง แต่ อย.ไม่ได้ตามมาตรวจว่าใส่ส่วนผสมตรงตามที่แจ้งทุกลอตทุกหลอดหรือไม่ ดังนั้นการบอกว่า ผ่าน อย. ก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าครีมที่ใช้จะไม่มีสเตียรอยด์ ค่ะ

ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ “ควร” ซื้อ

  1. ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
  2. ตามความเห็นส่วนตัว หมอแนะนำ ให้ดูจาก แบรนด์นั้นควรไม่ได้มีช่องทางขายเพียงแค่ในอินเตอร์เน็ตอย่างเดียว ควรมีสถานที่จัดจำหน่ายภายนอก ที่มีลักษณะน่าเชื่อถือด้วย เช่น ตามเคาท์เตอร์แบรนด์ ห้าง , ซุปเปอร์มาร์เกต , ร้านบิวตี้สโตร์ และ ดรักสโตร์ เช่น บูท วัตสัน
  3. ถึงมีขายในอินเตอร์เน็ต ก็ควรจะมีเว็บไซต์ที่เป็นทางการของยี่ห้อนั้น

ถ้าซื้อมาแล้ว ได้ลองใช้ หากครีมที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์ จะมีหลักสังเกตุ ดังนี้ค่ะ

  1. รู้สึกว่า สิวหาย ฝ้าจางได้รวดเร็ว เกินปกติ ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นการรักษาสิวหรือฝ้าโดยการทายาที่ไม่มีเสตียรอยด์ โดยมาดจะใช้เวลาอย่างน้อยเฉลี่ย 2 สัปดาห์ ถึงจะเริ่มมีอาการดีขึ้นตามลำดับ และ ใช้เวลา 1 – 2 เดือนขึ้นไป ถึงเริ่มเห็นผล ค่ะ
  2. หน้าใสผิดปกติ เห็นผลเร็วแบบกระทันหัน
  3. ผดผื่นคันที่หน้า ยุบภายใน 3-5 วัน
  4. ผิวเนียนนุ่ม แบบเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
  5. บางทีใช้ไปสักพักหน้าใสจนเริ่มเห็นเส้นเลือด หรือมีไรขนขึ้นที่หน้า สิวเริ่มขึ้น
  6. บางคนช่วงใช้ไม่มีปัญหา แต่พอหยุดใช้ แล้วเริ่มมีผื่น หรือสิวตามมา
  7. สามารถทดสอบได้ด้วย ชุดทดสอบเสตียรอยด์ แต่อาจตรวจได้เฉพาะครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์บางชนิดเท่านั้นนะคะ
 

ถ้ารู้ว่า เป็น สิวสเตียรอยด์ที่หน้า ทำยังไงดี

การรักษาสิวสเตียรอยด์ อันดับแรก ที่ต้องทำ คือ เลิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสม สเตียรอยด์นั้น ในทันที

พอหลังจากหยุดใช้แล้ว อาจทำให้มีอาการสิวเห่อมากขึ้น มีผื่นขึ้น อาการแย่ลง ซึ่งให้ระลึกเสมอว่าเป็นอาการปกติที่จะเกิดขึ้นได้

หมออยากให้อดทนกับอาการที่เกิดขึ้นเพราะอาการจะเป็นได้ช่วงนึง อย่ากลับไปใช้ผลิตภัณฑ์นั้นอีก หรือ อย่าไปซื้อผลิตภัณฑ์รักษาสิวมาใช้เอง เพราะ เราไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์รักษาสิวต่างๆนั้นมีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือไม่ ถ้าได้กลับไปใช้สเตียรอยด์อีก กลายเป็นว่าอาการก็จะเป็นๆหายๆวนซ้ำไปเรื่อย จะยิ่งทำให้สิวสเตียรอยด์รักษายากและหน้าจะพังในที่สุด

ถ้ายังไม่สะดวกไปพบแพทย์และอาการดูไม่รุนแรงมาก หมอแนะนำให้ หาวิธีรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตนเอง ดังนี้ ค่ะ

  1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผิวหน้าทุกชนิด ตั้งแต่สบู่ล้างหน้า ครีมบำรุง ที่เป็นสูตรที่อ่อนโยนต่อผิว คือ ไม่มีส่วนผสมของ AHA BHA ที่ผลัดเซลล์ผิว ไม่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง ที่อาจระคายเคืองผิว ทำให้หน้าแห้งลอก มากขึ้น และมีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น Alovera Vitamin E Ceramide
  2. สามารถลองทายากลุ่มรักษาสิวบางชนิดที่มีตามร้านขายยา ด้วยตัวเอง ได้แก่ Benzac , Clinda M แต่หมอแนะนำว่าเราต้องมั่นใจว่าผิวของเราตอนนั้นแข็งแรง เพราะถ้าใช้ยาในขณะที่ผิวแพ้ง่ายแล้วนั้น อาจยิ่งทำให้ผิวมีการระคายเคืองง่ายขึ้นไปอีกได้ค่ะ
  3. สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่าการรักษาสิวสเตียรอยด์นั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน อย่างน้อยประมาน 3 เดือน กว่าจะดีขึ้น หมอจึงอยากให้อดทนและใจเย็นๆค่ะ
  4. ถ้าอาการ สิวสเตียรอยด์ ที่เป็นรุนแรงมาก คือ สิวเห่อเต็มหน้า มีตุ่มหนองปริมาณมาก มีอาการคันร่วมด้วย หมอแนะนำว่าการพบแพทย์จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยอาการและรักษาสิวสเตียรอยด์โดยวิธีที่ถูกต้อง ไม่ต้องลองผิดลองถูกในการรักษาค่ะ

วิธีรักษา สิวสเตียรอยด์ที่หน้า เมื่อถึงมือหมอ

การรักษาสิวสเตียรอยด์โดยวิธีทางการแพทย์ มีหลายวิธี ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของคนไข้แต่ละคน ได้แก่

  •  ยาทา ทั้งกลุ่มที่ละลายหัวสิว ฆ่าเชื้อสิว
  • ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เหมาะกับสภาพผิว ได้แก่ สบู่ล้างหน้า ครีมบำรุง ครีมกันแดด
  • ยารับประทาน มีทั้ง ยาลดการทำงานของต่อมไขมัน ยาฆ่าเชื้อต่างๆ
  • การรักษาเสริม เพื่อให้มีประสิทธิภาพ เห็นผลเร็วขึ้น เช่น กดสิว ทรีทเมนท์ลดสิว เลเซอร์ ฉายแสง

ซึ่งแนวทางการดูแลของแพทย์แต่ละที่อาจมีแตกต่างกันไป ด้วยค่ะ

ตัวยาอะไรหมอรักษาสิว แนะนำเมื่อทำการ รักษาสิวสเตียรอยด์ที่หน้า

กลุ่มยารักษาสิวสเตียรอยด์ จะมีหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับว่า เป็นสิวชนิดสิวแท้ หรือ ชนิดสิวยีสต์ หมอจะขอยกตัวอย่างชื่อยาที่ใช้ทั่วไป สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยต้องปรึกษาเภสัชกร ก่อน ดังนี้ค่ะ

ยารักษาสิวแท้

ยาทา

  • กลุ่มยาละลายหัวสิว ได้แก่ Adapalene, Benzoyl Peroxide
  • กลุ่มยาฆ่าเชื้อสิว ได้แก่ Clindamycin, Erythomycin

ยากิน

  • กลุ่มฆ่าเชื้อสิว ได้แก่ Tetracycline(เช่น Doxycycline) , Erythromycin

ยารักษาสิวยีสต์

  • ยาทาเฉพาะที่ เช่น Ketoconazole cream
  • ยากิน เช่น Ketoconazole, Fluconazole

สิวสเตียรอยด์ที่หน้า รักษานานไหม กี่ เดือน หาย

มักมีคำถามว่า หน้าติดสเตียรอยด์ กี่เดือนหาย, สิวสเตียรอยด์ กี่เดือนหาย การรักษาสิวสเตียรอยด์ที่หน้า นั้นอาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่า สิวทั่วไป เพราะ สิวสเตียรอยด์มีสาเหตุจากภูมิคุ้มกันผิวหนังที่น้อยลง ผิวไม่แข็งแรงร่วมด้วย ทำให้การรักษา บางทีอาจทำให้ต้องค่อยๆ ปรับยาสิวเพื่อไม่ให้ผิวบอบบางมากขึ้นจากการใช้ยา และ ต้องรอให้ผิวค่อยๆฟื้นตัวกลับมาแข็งแรง ระยะรักษานานแค่ไหน ขึ้นกับว่าใช้ ผิวติดสเตียรอยด์ มามากเท่าไรค่ะ

โดยปกติ ระยะเวลาในการรักษาหน้าติดสเตียรอยด์ จะอยู่ที่เริ่มต้น 3 เดือน ไปจนถึง 6 เดือนถึง 1 ปี

กดสิวสเตียรอยด์ อันตรายไหม ?

การกดสิว ในกรณี สิวสเตียรอยด์ เป็นการรักษาเสริมอย่างนึง ในกรณีที่เป็นสิวชนิดสิวอุดตันและอักเสบแบบมีหัวสิว ซึ่งจะช่วยให้การรักษาเห็นผลเร็วขึ้นได้มาก แต่ หมอแนะนำว่าควรดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ เพราะหลักการกดสิวอย่างถูกวิธีควรทำด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ

การกดสิว ที่ไม่ถูกวิธี แบบไม่ปลอดเชื้อ จะยิ่งเสี่ยงให้ผิวหนังจากเดิมที่ไม่แข็งแรง ภูมิคุ้มกันที่ผิวไม่ดี เสี่ยงติดเชื้อง่ายกว่าปกติอยู่แล้ว ให้มีการอักเสบติดเชื้อลามมากขึ้นได้ค่ะ และ ยิ่งจะทำให้ทิ้งรอยแผลเป็นมากกว่าเดิม รักษานานขึ้นไปอีก ถ้าต้องการจะกดสิวสเตียรอยด์ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแล จะปลอดภัยกว่า

รักษาสิวสเตียรอยด์ ให้หายขาด มีโอกาสแค่ไหน ?

เราสามารถรักษาสิวสเตียรอยด์ให้หายขาดได้อย่างแน่นอนค่ะ แค่ขอให้ ใจเย็น อดทน และมีความสม่ำเสมอในการรักษา ทั้งการใช้ยาต่อเนื่อง การดูแลผิวตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่กลับไปใช้สเตียรอยด์ใหม่ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ


การรักษาสิว โดยการทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อป้องกันการเกิดสิว

  1. ทำความสะอาดผิว อย่างอ่อนโยน ใช้น้ำยาที่อ่อนโยนทำความสะอาดในตอนเช้า – เย็น และหลังการ ออกกำลังกายอย่างหนัก (การขัดผิวไม่หยุดสิว แต่สามารถทำให้ปัญหาแย่ลงได้)
  2. พยายามอย่าแตะต้องผิวของคุณ ผู้ที่บีบหรือหยิกสิว สามารถเกิดแผลเป็นหรือจุดด่างด้านบนผิวหนังได้
  3. แต่งหน้าอย่างระมัดระวัง การแต่งหน้าทั้งหมดควรปราศจากน้ำมัน มองหาค้าว่า “noncomedogenic” บนฉลาก ซึ่งหมายความว่าการแต่งหน้าจะไม่อุดตันรูขุมขนของคุณ แต่บางคนยังคงเป็นสิวแม้ว่าจะใช้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี
  4. อยู่ให้พ้นแสงแดด ยารักษาสิวจำนวนมากสามารถทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดด การอยู่ท่ามกลาง แสงแดดสามารถทำให้ผิวเหี่ยวย่น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง

การป้องกันการเกิดสิว

เทคนิควิธีการที่ช่วยป้องกันเกิดสิว หรือป้องกันไม่ให้มีสิวอักเสบเพิ่มขึ้น สามารถทำได้โดย

  1. ไม่แตะต้องสัมผัสบริเวณที่มีสิวอักเสบ เพราะเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกอาจไปเพิ่มการอุดตันหรือเร่งการอักเสบของสิว
  2. ใช้ ครีมบำรุง หรือยาที่ช่วยลดน้ำมันส่วนเกินบริเวณผิวหนัง และหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน
  3. อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เพื่อชำระล้างเหงื่อและน้ำมันที่ถูกขับออกมาในแต่ละวัน โดยเฉพาะหลังกิจกรรมหนัก ๆ ที่ทำให้เหงื่อออกมาก
  4. ทายารักษาสิวที่มีตัวยาเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ หรือกรดซาลิซัยลิกเป็นส่วนผสม
  5. ล้างหน้าบริเวณที่เป็นสิว เพื่อชำระน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้อุดตัน แต่ไม่ควรล้างหน้าเกิน 2 ครั้งต่อวัน เพราะจะทำให้ผิวระคายเคือง เสี่ยงต่อการเกิดการแพ้อื่น ๆ ตามมา โดยควรเลือกใช้ครีมหรือโฟมล้างหน้าสูตรธรรมชาติและปราศจากน้ำมัน
  6. ล้างหน้าให้สะอาดและล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนเข้านอน เพื่อป้องกันการสะสมของน้ำมันและสิ่งอุดตันในชั้นผิวหนัง

การรักษาสิว ที่ไหนดี

คลินิกรักษาสิวที่ดีต้องมีใบอนุญาตดำเนินการ สามารถเปิดกิจการได้อย่างถูกต้อง สถานที่ต้องสะอาดปลอดภัย ตัวยาผ่าน อ.ย. รับรองอย่างถูกต้อง เครื่องมือทางการแพทย์ต้องทันสมัย ซึ่งเห็นง่ายๆเลยจากการพูดถึง บอกต่อหรือการรีวิวจากคนจำนวนมาก โดยเราสามารถดูได้จากภาพก่อนรักษา-หลังรักษา ส่วนใหญ่คลินิกรักษาสิวที่ไหนดี ชื่อนี้จะมีการพูดถึงบ่อยในโลกออนไลน์

“รักษาสิวแบบครบสูตร Acne Care”

รีวิวสิว

 

รีวิวสิว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกหนึ่งทางเลือกของการรักษาสิวด้วยวิธีการของเรา

ปัญหาสิวแก้เท่าไหร่ ไม่หายสักที ลองใช้ยามาหลายแบบก็ยังไม่ดีขึ้น อาจเป็นเพราะยายี่ห้อนั้นที่ใช้ อาจไม่เหมาะกับสภาพผิวหน้าของเรา หรืออาจเกิดจากการใช้ยาผิดประเภท, ผิดวิธี ทำให้ปัญหาสิวยังคอยกวนใจเราอยู่ ทางที่ดีลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแนะนำยาที่ถูกต้อง เหมาะสำหรับสภาพผิวของเรา

โดยทางสยามคลินิก ขอแนะนำ Acne Set เซตยารักษาผิว ที่ช่วยลดการสะสมของสิ่งที่ทำให้เกิดสิว และลดรอยต่างๆ ที่เกิดจากสิว ซึ่งจะมียาทั้งหมด 8 ตัว เพียงเซตละ 1,800 บาท จากปกติ 2,010 บาท ประกอบด้วย

  • Cleansing Milk ครีมนม ล้างหน้า
  • Acne Cleanser เจลล้างเพื่อปัญหาสิวโดยเฉพาะ
  • Pore Minimizing Toner ปรับสภาพผิว / ลดความมัน
  • Anti-Acne Gel เจลแต้มบริเวณที่เป็นสิว
  • BP 5% ยาละลายสิวอุดตัน (ก่อนล้างหน้า)
  • CM Clindamycin Gel ยาฆ่าเชื้อสิว, แต้มหัวสิว
  • AHA Gel ยาแต้มรอยดำจากสิว
  • Acne Cream

ท่านสามารถกดูสินค้าได้ ที่นี่ หรือคลิกที่รูปด้านล่าง

สยามคลินิกมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ช่วยวิเคราะห์ปัญหาสภาพผิวหน้า พร้อมแนะนำวิธีการใช้ยา เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง

ติดต่อสยามคลินิกภูเก็ต

บทความก่อนหน้านี้INDIBA กระชับช่องคลอด กระชับน้องสาว โดยไม่ต้องผ่าตัด
บทความถัดไปริ้นทะเล ภัยเล็กๆจากทะเลที่ทุกคนมองข้าม