สเต็มเซลล์จากนํ้าครํ่า Amniotic fluid stem cells (AFSCs) นวัตกรรมความงามและฟื้นฟูสุขภาพ

0
701
คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ สเต็มเซลล์จากนํ้าครํ่า (AFSCs) มาก่อนหรือไม่? นี่คือวิธีการที่เกิดจากการแยกสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำของเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ ทำให้ได้มาซึ่งสเต็มเซลล์ที่มีความบริสุทธิ์และคุณภาพที่ดี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีศักยภาพในการรักษาโรคต่างๆได้ และยังมีการนำมาใช้ในด้านความงามและการดูแลผิวพรรณอีกด้วย

สเต็มเซลล์แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?

แบบเลือด: ใช้สำหรับปลูกถ่ายไขกระดูกเท่านั้น สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็น เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดได้ จึงเอาไปรักษาโรคทาง Anti-aging ไม่ได้เลย (เพราะถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไปเป็นอะไร)

แบบเนื้อเยื่อ:

  1. ESC (Embryonic Stem Cells) เป็นสเต็มเซลล์ที่ได้จากตัวอ่อน แต่การนำมาทดลองมีโอกาสเกิดเป็นเนื้องอก 30% และสเต็มเซลล์ประเภทนี้เก็บได้จากทารกที่แม่ทำแท้ง ในปัจจุบันวงการแพทย์จึงไม่ใช้สเต็มเซลล์ประเภทนี้
  2. MSC (Mesenchymal Stem Cells) เป็นสเต็มเซลล์ที่ได้จากเซลล์ต้นกำเนิดมาจากเนื้อเยื้อ มีเซนไคม์ (Mesenchyme) ได้แก่ สายสะดือ, เลือดจากรก, ไขมัน, ไขกระดูก, ฟัน เป็นต้น สเต็มเซลล์ประเภทนี้ทำหน้าที่ซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ของอวัยวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพหรือผิดปกติให้ทำงานได้ดีขึ้น
  3. AFS (Amniotic Fluid Stem Cell) เป็นสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำของแม่ที่ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน และต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการเจาะน้ำคร่ำ เท่านั้น

สเต็มเซลล์จากนํ้าครํ่า (AFSCs) คืออะไร?

สเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำ (Amniotic Fluid Stem Cells, AFSc) ถูกพัฒนาขึ้นจากเซลล์ของเด็กทารกที่ช่วงอายุครรภ์ 4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่เซลล์มีความอ่อนเยาว์และมีคุณภาพสูง การใช้ AFSc นั้นเกี่ยวข้องกับการศึกษาแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือและมาตรฐานในการจัดเก็บสเต็มเซลล์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้รับการรักษาควรศึกษาอย่างถี่ถ้วน นอกจากการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ สเต็มเซลล์ AFSc ยังมีการนำมาใช้ในด้านความงาม ซึ่งสามารถช่วยในการดูแลผิวพรรณ ชะลอวัย และฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เสื่อมไปตามอายุได้ การรับสเต็มเซลล์ AFSc นั้นเป็นกระบวนการที่คุณควรศึกษาและเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ รวมถึงมาตรฐานในการจัดเก็บสเต็มเซลล์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สเต็มเซลล์ AFSc เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนชีวิตและดูแลความงามของคุณ คุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเมื่อเลือกใช้สเต็มเซลล์ AFSc ในการดูแลความงามของคุณ
 

ขั้นตอนการเก็บ สเต็มเซลล์จากนํ้าครํ่า (AFSCs)

การเก็บหรือเลือกใช้สเต็มเซลล์นั้นมีด้วยกันหลายวิธี แต่วิธีปลอดภัย และดีที่สุด คือ Amniotic Fluid Stem Cell (AFSc) : การคัดแยกสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำและนำมาเพิ่มจำนวนนอกร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและยังเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาโรคในอนาคต ข้อดีของเซลล์ต้นกำเนิดชนิดนี้สามารถที่จะแบ่งตัวได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถเก็บได้จากเซลล์ของเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์ของมารดาที่ช่วงอายุครรภ์ 4 เดือน จะมีการแยกให้เหลือส่วนที่เป็นเซลล์จากนั้นเมื่อได้เซลล์แล้วจะนำเซลล์ลงเพาะเลี้ยงในน้ำยาที่เป็นอาหารเพาะเลี้ยง เซลล์ที่ตกลงมาเซลล์แรก จะเป็นสเต็มเซลล์ที่มีคุณภาพดีที่สุด และนำเซลล์เริ่มต้นมาเพิ่มจำนวนเป็นหลายแสนล้านเซลล์ สเต็มเซลล์ชนิดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ร่างกายได้หลายชนิดและ แนวคิดนี้สามารถนำไปเป็นทางเลือกในการรักษาในโรคต่างๆได้ รวมถึงด้านความงามอีกด้วย และถ้าหากเปรียบเทียบกับวิธีอื่น คือ MSCs เป็นการเก็บ Stem Cell ที่มากจากรกของเด็กที่คลอดแล้ว ซึ่งวิธีนี้เป็นการเก็บที่ง่าย แต่ผลลัพธ์หรือประสิทธิภาพจะลดลงไม่ดีเท่ากับวิธี AFSc เนื่องจากความอ่อนเยาว์จะลดลงไปตามลำดับในขณะที่อยู่ในท้อง

AFSc ต่างจาก MSCs อย่างไร

ดร.ทัศนีย์ เพิ่มไทย หัวหน้าโครงการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดฯ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ผู้คิดค้นผลงานวิจัยนี้ กล่าวว่า สเต็มเซลล์ที่มาจากน้ำคร่ำนั้นมีที่มาจากทารกในครรภ์ เซลล์จึงมีศักยภาพอยู่ระหว่างสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนและสเต็มเซลล์ตัวเต็มวัย ทำให้ สเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำ มีคุณสมบัติเป็นมีเซนไคม์เหมือนสเต็มเซลล์ตัวเต็มวัย และมีคุณสมบัติพิเศษของสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนอยู่ด้วย สเต็มเซลล์ชนิดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ร่างกายชนิดต่างๆ ได้มากชนิด โดยไม่ก่อให้เกิดก้อนเนื้องอกเมื่อภายหลังการปลูกถ่าย
 
คุณสมบัติเด่นอีกประการหนึ่งของสเต็มเซลล์น้ำคร่ำที่เหมือนกับสเต็มเซลล์จากตัวอ่อน แต่ไม่พบในสเต็มเซลล์ตัวเต็มวัยชนิดใดๆ เลย คือ สามารถแบ่งเซลล์จากหนึ่งเซลล์เป็นหลายแสนล้านเซลล์ได้ และเนื่องจากสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำยังเป็นเซลล์ที่ อ่อนวัย จึงยังไม่แสดงลักษณะเฉพาะของภูมิคุ้มกันที่ชัดเจน ทำให้ไม่มีปัญหาการต่อต้านและปฏิเสธเซลล์ เมื่อนำไปใช้ปลูกถ่ายรักษาโรคให้แก่ผู้อื่น ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้สเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำเป็นสเต็มเซลล์ชนิดมีเซนไคม์ที่น่าสนใจสำหรับการรักษาโรคในอนาคต

ทำความรู้จัก เซลล์ต้นกำเนิดชนิดมีเซนไคม์ (MSCs) ตัวช่วยในการฟื้นฟูคืนความอ่อนเยาว์


ความสำคัญของสเต็มเซลล์ ด้านความงาม และการชะลอวัย (Anti-aging)

ในปัจจุบัน สเต็มเซลล์ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่สุดยอดของวงการแพทย์ทุกแขนง โดยเฉพาะในวงการแพทย์ผิวหนังและความงาม เพราะสเต็มเซลล์เป็นการใช้เซลล์ซ่อมเซลล์ เป็นการซ่อมแซมความเสื่อมของร่างกาย แม้โดยปกติคนเราจะมีสเต็มเซลล์ที่ช่วยซ่อมแซมภายในร่างกายอยู่แล้ว แต่การซ่อมแซมนั้นอาจไม่สมบูรณ์ เนื่องจากเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ปริมาณของสเต็มเซลล์และคอลลาเจนย่อมลดลงตามธรรมชาติ คนที่มีอายุมากขึ้นส่วนใหญ่จะมีผิวหนังบาง แพ้ง่าย จนนำไปสู่ปัญหา ฝ้า กระ ริ้วรอย ร่องลึกตามบริเวณต่างๆ ของใบหน้า การเพิ่มปริมาณสเต็มเซลล์ใหม่ๆ ที่มีความสด บริสุทธิ์ คุณภาพสูง และยังมีชีวิตอยู่ (Live Stem Cell) จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์มีการซ่อมแซมตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ผิวพรรณกลับมากระจ่างใสและดูอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นการแก้ที่ต้นเหตุของความเสื่อม

อายุเท่าไหร่ที่ควรรับสเต็มเซลล์

  • Anti-aging อายุ 30-40 ปี ส่วนใหญ่ควรมาให้ปีละครั้ง
  • กลุ่ม อายุ 60-70 ปี จะเป็น ปีละ 2 ครั้ง

วิธีการฉีดสเต็มเซลล์จากสยามคลินิก

โดยปกติจะมี 2 แบบ คือ
  1. ฉีดตามตำแหน่งที่ต้องการ เช่น ผิวหน้าตามบริเวณร่อง ริ้วรอยต่างๆ ฝ้า กระ ความหย่อนคล้อย หรือผิวไม่ชุ่มชื้น / หนังศรีษะ / ช่วงข้อต่อต่างๆ กล้ามเนื้อ / อวัยวะภายใน และ ส่วนอื่นๆ
  2. การ IV Drip หรือที่เรียกว่า การฉีดทางเส้นเลือดดำ เป็นการให้ควบคู่กับวิตามิน และปริมาณการให้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวแต่ละท่าน หรือ การประเมินของแพทย์

เมื่อไหร่เห็นผล

ประมาณ 1 – 4 สัปดาห์ หลังฉีดจะเริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ตามแต่ละจุดที่ได้รับสเต็มเซลล์ เช่น
  • ผิวหน้า : มีความเนียนนุ่ม อิ่มน้ำ เต่งตึงขึ้น ในประมาณช่วง 1 เดือน
  • IV Drip : ร่างกายปรับสมดุลดีขึ้น สดชื่น ชะลอวัยได้ดี และอาจจะพบว่าค่าเลือดมีเกณฑ์ที่ดีขึ้น
  • ส่วนอื่นๆ : ตามอาการของอวัยวะนั้นๆ ลดการปวด อักเสบ ดีขึ้นตามลำดับ

การเตรียมตัวก่อน/หลัง รับสเต็มเซลล์

ก่อนเข้ารับบริการ สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ และหากกรณีที่มีทำหัตถการที่ใช้เครื่อง แนะนำให้ทำมาก่อนให้สเต็มเซลล์ เนื่องจากหลังให้สเต็มเซลล์แล้วช่วง 7 วันหลังฉีดสเต็มเซลล์ควรเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เครียด และการออกกำลังกายหนักหรือการที่ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะอักเสบน้อยที่สุด และ 1 เดือนหลังฉีดสเต็มเซลล์ เว้นการทำเสริมความงามที่ใช้เครื่อง เช่น เลเซอร์ , Ulthera เป็นต้น

ผลข้างเคียง

หลังฉีดไปประมาณ 1 – 2 วัน อาจมีอาการคล้ายไข้ ตัวอุ่นๆ ร้อนๆ ไม่สบายตัวได้บ้าง แต่ไม่ต้องเป็นกังวลใจจะไม่มีอาการผิดปกติที่ร้ายแรงใดๆที่น่าเป็นห่วง เพราะที่สยามคลินิกเลือกใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาตรฐาน ดังนั้นคุณลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยในทุกๆขั้นตอน

บทความอื่นๆ


ติดต่อสยามคลินิกภูเก็ต

บทความก่อนหน้านี้มาทำความรู้จักเควอซิทิน (Quercetin) มีประโยชน์กับสุขภาพอย่างไร?
บทความถัดไปไขข้อสงสัย ตาที่ดีตามโหงวเฮ้งเป็นอย่างไร?