โบท็อกซ์ คืออะไร มาทำความรู้จักกัน

0
2497

โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร ?

โบท็อกซ์ (Botox) คือ เป็นตัวย่อของ Botulinum toxin A เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากการสร้างของแบคทีเรีย ชื่อ Clostridium botulinum เชื้อโรคนี้หากได้รับมากเกินไปจะทำให้อาหารเป็นพิษหรือเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อยๆ อย่างพอเหมาะ จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวอันเป็นผลดีกับวงการแพทย์ ซึ่งนำมาใช้ในการรักษาโรคตาเหล่ ตาเข และยังนิยมในวงการเสริมความงาม นั่นก็คือช่วยให้ริ้วรอยต่างๆ ลดลงและกระชับผิวให้ดีขึ้น

ตำแหน่งการฉีด โบท็อกซ์ (Botox) ที่นิยม

ตำแหน่งบริเวณที่นิยมฉีดโบท็อก มักเป็นส่วนที่เกิดริ้วรอยได้ง่าย ได้แก่ หางตา หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ที่ผิวเกิดรอยพับจากการแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ต่างๆ รวมไปถึงการลดกราม ปรับหน้าเรียว ส่วนใหญ่ก็นิยมฉีดโบท็อก เพราะเห็นผลเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล หมอรวบรวมข้อมูลจุดฉีดโบท็อกมาให้ดังนี้

  1. โบท็อกลดกราม (Jaw line botox) การฉีด Botox บริเวณกรามและกรอบหน้าจะทำให้ไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณนี้ เหมือนบล็อคกรอบหน้าและกรามไว้ให้ได้รูป ทำให้หน้าเรียวขึ้นดูเด็กและมีเหนียงน้อยลง
  2. โบท็อกลิฟหน้า (Botox Face Lift) การฉีด Botox บริเวณกรามและกรอบหน้าจะทำให้ไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณนี้ เหมือนบล็อคกรอบหน้าและกรามไว้ให้ได้รูป ทำให้หน้าเรียวขึ้นดูเด็กและมีเหนียงน้อยลง
  3. โบท็อกหางตา (Botox Eyes) หางตาแสดงอารมณ์ชัดเจนในเวลาที่เรายิ้ม เป็นที่มาของตีนกา การฉีด Botox บริเวณหางตาจะทำให้เห็นความแตกต่างชัดเจนว่าหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  4. โบท็อกหน้าผาก (Botox Forehead) เนื่องจากบริเวณหน้าผากและหัวคิ้วเป็นจุดแสดงอารมณ์ที่เรามักย่นหน้าผากและขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว หน้าผากและระหว่างหัวคิ้วจึงมักเกิดปัญหาริ้วรอยร่องลึก ซึ่งทำให้ดูหน้าไม่เรียบ ดูแก่กว่าวัยที่สำคัญบางคนเมื่อมีริ้วรอยร่องลึกบริเวณนี้ทำให้ดูเป็นคนขี้กังวลอยู่ตลอดเวลาหน้าตาไม่สดใส
  5. โบท็อกระหว่างคิ้ว (Botox Between Eyes Brown) เนื่องจากบริเวณหน้าผากและหัวคิ้วเป็นจุดแสดงอารมณ์ที่เรามักย่นหน้าผากและขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว หน้าผากและระหว่างหัวคิ้วจึงมักเกิดปัญหาริ้วรอยร่องลึก ซึ่งทำให้ดูหน้าไม่เรียบ ดูแก่กว่าวัยที่สำคัญบางคนเมื่อมีริ้วรอยร่องลึกบริเวณนี้ทำให้ดูเป็นคนขี้กังวลอยู่ตลอดเวลาหน้าตาไม่สดใส
  6. โบท็อกลดโหนกแก้ม(Botox cheekbones) เข้าไปลดขนาดกล้ามเนื้อ (zygomaticus) ทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดเล็กลง โหนกแก้มจึงมีขนาดเล็กลงได้ แต่โหนกแก้มก็จะขึ้นเวลายิ้ม
  7. โบท็อกปีกจมูก (Botox Nose) ปีกข้างจมูกกับร่องแก้มเป็นบริเวณแสดงอารมณ์ที่เห็นชัดไม่แพ้หน้าผากและระหว่างคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นการยิ้มหัวเราะ ขยับปากและจมูก เมื่อมีรอยลึกบริเวณปีกจมูกยิ่งทำให้ดูแก่กว่าวัยได้อย่างชัดเจน
  8. โบท็อกรักแร้ (Botox axilla) ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกน้อยลง ระงับกลิ่นกายได้อีกด้วย
  9. โบท็อกน่อง (Botox Slender Legs) เพื่อให้ตัวยาเกิดการออกฤทธิ์ในการคลายกล้ามเนื้อ จึงทำให้กล้ามเนื้อน่องที่เคยใหญ่กลับมีขนาดที่เล็กลงได้ ซึ่งหลักการก็จะคล้าย ๆ กับการลดขนาดของกล้ามเนื้อกรามให้หน้าแลดูเรียวขึ้นนั้นเอง
  10. โบท็อกแขน (Botox Arm) การฉีดโบท็อกลดต้นแขน จะช่วยให้ขนาดตัวดูเหมือนเล็กลงได้ด้วยครับ เพราะช่วยลดความกว้างของบ่าลง

โบท็อกซ์

ฉีด โบท็อกซ์ (Botox) ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง ?

โบท็อกเป็นตัวยาที่สามารถใช้ฉีดได้หลายตำแหน่ง แต่ส่วนใหญ่ที่นิยม คือใช้ฉีดโบท็อกลดริ้วรอย ฉีดโบท็อกลดกรามและปรับหน้าเรียว

  1. ช่วยลดริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน กลไกการออกฤทธิ์ของโบท็อกทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง ริ้วรอยบนใบหน้าจึงค่อยๆ ลดลง โบท็อกจะฉีดตรงบริเวณริ้วรอยบนใบหน้า เช่น เส้นที่หน้าผาก ตีนกา รอยขมวดคิ้ว ช่วยให้ดูอ่อนวัยกว่าเดิม
  2. ช่วยปรับรูปหน้า จะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 เดือน โบท็อกจะทำให้กล้ามเนื้อเล็กลง เนื่องจากกล้ามเนื้อโดยปกติหากไม่ได้ขยับเขยื้อนจะค่อยๆ มีขนาดเล็กลงอยู่แล้ว หมอจะฉีดตรงแนวขากรรไกร กราม เพื่อปรับใบหน้าให้เล็กและเรียวขึ้น
  3. ช่วยฟื้นฟูผิว การฉีดโบท็อกสามารถช่วยให้รูขุมขนเล็กลงได้ โดยหมอจะฉีดโบท็อกไปที่กล้ามเนื้อและต่อมไขมัน เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไปรูขุมขนจะหดเล็กลง ต่อมไขมันลดขนาด ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

ข้อปฏิบัติตัวก่อนฉีด โบท็อกซ์ (Botox)

  1. ควรหยุดการใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อป้องการอาการฟกช้ำ
  2. งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สารสกัดจากโสม ขิง กระเทียม ใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 สัปดาห์
  3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด
  4. สุขภาพร่างกายอยู่ในสภาพปกติดี ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
  5. ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ฉีดทราบถึงปัญหาที่กังวลและสิ่งที่ต้องการในแต่ละส่วนอย่างชัดเจนก่อนฉีด เนื่องจากความต้องการที่ต่างกันไปตามแต่ละบุคคล เช่น บางท่านชอบให้ตึงมากๆ แต่บางท่านอาจชอบให้ดูเป็นธรรมชาติ แตกต่างกันไป
  6. หากเป็นไปได้ในวันฉีดควรล้างเครื่องสำอางหรือทำความสะอาดใบหน้าก่อนพบแพทย์

หลังฉีด โบท็อกซ์ (Botox) ดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งมักได้แก่

  1. ไม่นอนราบในช่วง 3-4 ชั่วโมงแรกหลังจากฉีดโบท็อกซ์ เพราะโบท็อกซ์อาจไหลไปในบริเวณที่ไม่ต้องการ
  2. ให้นอนหงายหนุนหมอนสูง ในคืนแรกของการรักษา
  3. ไม่ประคบร้อน และระวังอย่าให้ลมร้อนจากไดร์เป่าผมไปเป่าบริเวณที่เพิ่งฉีดโบท็อกซ์มาเป็นเวลา 2 สัปดาห์
  4. ไม่นวด กด บีบ คลึง บริเวณที่เพิ่งทำการฉีดโบท็อกซ์มา เป็นเวลา 6-8 ชั่วโมง เนื่องจากการทำให้ยากระจายไปออกฤทธิ์ยังบริเวณอื่นได้
  5. หากมีอาการบวมแดงหรือช้ำในช่วง 1-2 วันแรกหลังการฉีดโบท็อกซ์ (ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้เนื่องจากเข็มฉีดยา) ให้ใช้น้ำแข็งประคบได้
  6. ควรไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา และหากพบความผิดปกติก่อนวันนัด เช่น หนังตาตก ปวดศีรษะ ปวดคอ เห็นภาพซ้อน ตาแห้ง มีอาการแพ้หรือหายใจไม่สะดวก ควรติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อปรึกษาว่า ควรเลื่อนการฉีดโบท็อกซ์ออกไปก่อนดีหรือไม่

ฉีดโบท็อก (Botox) กี่วันถึงจะเห็นผล ?

  1. โบท็อก ลดริ้วรอย จะเห็นผลลัพธ์ที่ 2 สัปดาห์ โดยหลังฉีดไป 3 วันจะเริ่มรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด
  2. โบท็อก ลดกราม ลดน่อง จะเห็นผลลัพธ์ที่ 1 เดือน โดยจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ 2 ขึ้นอยู่กับกล้ามเนื้อของแต่ละบุคคล
  3. โบท็อกรักแร้ ลดกลิ่นกาย จะเห็นผลลัพธ์ที่ 1 เดือน

รีวิวโบท็อกซ์รีวิวโบท็อกซ์

ฉีดโบท็อกซ์ (Botox)อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกจะไม่ได้อยู่อย่างถาวร ซึ่งปกติแล้วโบท็อกซ์จะอยู่ได้นาน 4-8 เดือน โดยอายุการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์นั้น ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้

  1. ยี่ห้อของโบท็อกที่ฉีด หากเลือกโบท็อกซ์ที่มีความบริสุทธิ์สูง จะอยู่ในร่างกายได้นานกว่า เพราะร่างกายจะทำลายโปรตีนที่จับกับโบท็อกซ์ โดยโบท็อกซ์ที่มีโปรตีนมากกว่าจะถูกทำลายได้ง่ายกว่าโบท็อกซ์ที่มีโปรตีนสูง
  2. ตำแหน่งที่ฉีด กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แขน ไหล น่อง จะมีปริมาณเส้นใยกล้ามเนื้อมาก ดังนั้นกล้ามเนื้อจึงกลับมาใช้งานได้เร็ว ระยะเวลาที่โบท็อกซ์ออกฤทธิ์จึงสั้นกว่า กล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น กราม หน้าผาก หางตา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ ซึ่งต้องอยู่ในการประเมินโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์

หลายคนจะมีความกังวลใจว่าเมื่อโบท็อกหมดฤทธิ์จะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาใหญ่กว่าเดิมหรือไม่ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะโบท็อกซ์ทำให้กล้ามเนื้อมัดที่ฉีดไปทำงานลดลง ขนาดกล้ามเนื้อจึงเล็กลง เมื่อหมดฤทธิ์กล้ามเนื้อก็จะกลับมาทำงานเพิ่มขึ้น ขนาดกล้ามเนื้อจะค่อยๆเพิ่มขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากใช้งานมากก็มีโอกาสสูงที่มัดกล้ามเนื้อจะมีขนาดกลับมาเท่าเดิม


ข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์ (Botox)

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำสวยได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งบุคคลไม่สามารถฉีดโบท็อกซ์ได้ ดังนี้

  1. ผู้ที่มีอาการแพ้สาร Botulinum A
  2. ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
  3. ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรง
  4. ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกแล้วหยุดยาก

ไขข้อสงสัย Botox USA vs Botox Korea เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ?

ใครที่เลือกไม่ถูกทาง Siam Clinic สรุปมาไว้ให้แล้วถึงความแตกต่างของโบท็อกซ์ทั้งสองสัญชาติ

เริ่มด้วย Botox USA (US) ที่เป็นยี่ห้อแรกที่ได้ FDA ในการลดริ้วรอย เห็นผลหลังจากฉีดภายใน 2-3 วันอยู่ได้นานถึง 6-8 เดือน มีความเสี่ยงดื้อยามีน้อย เพราะโปรตีนที่ใช้เป็นโมเลกุลใหญ่ ไม่ไหลไปกล้ามเนื้อมัดอื่น แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าโบท็อกซ์ สัญชาติอื่นค่ะ
ส่วน Botox Korea (KR) มีราคาที่ไม่แพงมากเมื่อเทียบกับโบอเมริกา แต่ประสิทธิภาพก็ค่อนข้างดีไม่แพ้กัน เห็นผลหลังจากฉีดไปแล้วง 4-5 วัน อยู่ได้นาน 3-5 เดือน และอาจมีโอกาเสี่ยงต่อการดื้อยาอยู่บ้างค่ะ
สรุปได้ว่าแต่ละสัญชาติก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ ปัญหารูปหน้า และบัตเจทของแต่ละบุคคล โดยสามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอเพื่อรับคำแนะนำได้นะคะ

โบท็อกซ์ (Botox) แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร

  • อัลเลอร์แกน (Allerganผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นโบท็อกซ์ตัวดั้งเดิมที่ผลิตมายาวนาน มีงานวิจัยรองรับจำนวนมาก และผ่านการพัฒนาเพื่อให้ผู้เข้ารับบริการมีโอกาสดื้อยาน้อยที่สุด ข้อดีของโบท็อกซ์ยี่ห้อนี้ คือ กระจายตัวแคบ ทำให้ควบคุมการฉีดได้แม่นยำ ตรงจุด ผลลัพธ์เเม่นยำเป็นธรรมชาติไม่ต่างจากตัว มีฤทธิ์อยู่ได้นานถึง 8 – 12 เดือน
  • ดิสพอร์ต (Dysport) ผลิตในประเทศอังกฤษ มีจุดเด่น คือ กระจายตัวได้ดี จึงเหมาะสำหรับใช้ฉีดในบริเวณกว้าง เช่น ฉีดลดเหงื่อ ลดต้นแขน ลดน่องปูด
  • โบทูแล็กซ์ (Botulax) ผลิตในประเทศเกาหลี จุดเด่นคือ ออกฤทธิ์เห็นผลค่อนข้างไว ราคาประหยัด แต่ข้อเสียคือ สลายตัวเร็ว ไม่ค่อยคงทนยาวนานมากนัก
  • นาโบตะ (Nabota) ผลิตในประเทศเกาหลี จัดเป็นโบท็อกซ์ยี่ห้อพรีเมียม มีสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ ได้รับรองจาก U.S.FDA  ตัวยาออกฤทธิ์เร็ว ผลลัพธ์ไม่ทำให้ใบหน้าเเข็งตึง สามารถเเสดงสีหน้าได้อย่างปกติ มีฤทธิ์อยู่ได้นานถึง 5-7 เดือน
  • เอสท็อก (Aestox) โบท็อกซ์จากประเทศเกาหลี ตัวนี้มีความบริสุทธิ์อยู่ที่ 99.5% มีโปรตีนผสมอยู่ค่อนข้างเยอะกว่ายี่ห้อ Allergan, Nabota เเต่ก็ได้รับความนิยมไม่เเพ้กัน ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย ให้ผลลัพธ์หลังการฉีดให้ความเป็นธรรมชาติ ละมุนไม่ต่างจากตัวอื่นๆเลย มีฤทธิ์อยู่ได้นานถึง 4-6 เดือน

ฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ที่ไหนดี

ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อก หมอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานครับ เพื่อความปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและลดความเสี่ยงในการเจอโบท็อกปลอม

  1. เลือกคลินิกฉีดโบท็อกให้ปลอดภัย ควรพิจารณาอะไรบ้าง?
  2. เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการ ได้มาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข
    เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ช่วยให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. ใช้โบท็อกแท้เท่านั้น การฉีดโบท็อกปลอมจะทำให้เกิดอาการดื้อโบท็อก (ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา)
  4. ดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ในแหล่งที่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ เช่น Facebook Pantip

เมโสแฟต กับ Botox ต่างกันอย่างไร ?

อยากหน้าเรียวเล็กแบบไหนดีกว่ากัน MesoFatหรือBotox วันนี้ สยามคลินิก จะมาอธิบายให้ฟังว่าทั้ง 2 อย่างนี้ต่างกันอย่างไร
  • เมโสแฟต MesoFat เป็นการฉีดตัวยา ที่ออกฤทธิ์ ในการช่วย สลายไขมัน เห็นผลในระยะเวลาอันรวดเร็ว ไม่เกิน 1- 2 สัปดาห์ ทำให้รูปหน้าดูเล็กลง จึงเป็นที่เป็นที่นิยมบริเวณที่นิยม คือ กรอบหน้า ไขมันแก้ม, เหนียง,ไขมันกระพุ้งแก้ม
  • โบท็อกซ์ Botox ช่วยให้กล้ามเนื้อมีขนาดเล็กลง ลดการทำงาน ลดการหดเกร็ง เลยทำให้ ลดริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า รอยเหี่ยวย่น ตีนกา ขมวดคิ้ว ชั่วคราว โดยเฉพาะเเวลาที่แสดงสีหน้า และ ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม  จึงสามารถปรับรูปหน้าให้ดูเรียว สวย ขึ้นได้
  • เมโสแฟต MesoFat จะช่วยสลายไขมันส่วนเกินในร่างกาย ส่วน โบท็อกซ์ Botox มีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวด้วยชั่วคราวส่งผลให้ริ้วรอยตื้นขึ้น โบท็อกเป็นนวัตกรรมที่นิยมใช้สำหรับลดริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือลำคอ รวมถึงลดขนาดของกรามเพราะคนส่วนใหญ่มีปัญหากรามใหญ่และปัญหากรามไม่เท่ากัน รวมไปถึงการฉีดน่อง ซึ่งการฉีดโบท็อกจะช่วยแก้ปัญหาได้ จะทำให้เนื้อเยื้อบางส่วนฝ่อหดเล็กลงชั่วคราวประมาณ 5-6 เดือน แต่การฉีดเมโสแฟตไม่สามารถช่วยได้
  • โบท็อกซ์ Botox และ เมโสแฟต MesoFat ทำให้สัดส่วนของร่างกายบริเวณต่างๆมีขนาดเล็กลงได้ จากทั้งไขมันและกล้ามเนื้อที่เล็กลง ซึ่งแพทย์จะเป็นคนประเมิณว่าเราควรฉีดโบท็อก หรือ Meso Fat ถึงจะเห็นผลลัพท์ที่ดีกว่ากันทั้งนี้ทั้งนั้นเราสามารถทำทั้ง 2 อย่างเพื่อปรับรูปหน้าให้เข้ารูปได้และเห็นผลลัพท์ที่ดีขึ้นเป็นสองเท่าอีกด้วย
  • เพื่อนๆ สามารถเลือกแบบใดแบบหนึ่ง หรือเลือกทั้งสองแบบในการแก้ไขปัญหารูปหน้า เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจยิ่งขึ้น แต่ทางที่ดี แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์ได้เหมาะสมและปลอดภัย สำหรับคุณ เนื่องจากบางคนอาจมีปัญหาที่ตัวโครงกระดูกใบหน้า ซึ่งจะไม่สามารถ แก้ไขได้ จากทั้ง 2 วิธีนี้ค่ะ


ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ กับแพทย์ที่มีประสบการณ์

นอกจากมีความปลอดภัยแล้ว แพทย์ที่มีประสบการณ์จะมีความรู้ด้านโครงสร้างผิว รู้ตำแหน่งเส้นเลือดสำคัญ รู้ว่าต้องฉีดอย่างไรให้ปลอดภัย และให้ดูสวยงามเป็นธรรมชาติ คนไข้ควรเข้ารับการฉีดโบท็อก กับคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ มีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข

Dr.โบท็อกซ์Dr.โบท็อกซ์


รีวิวจากลูกค้า

รีวิวโบท็อกซ์รีวิวโบท็อกซ์

จำนวนยูนิตโบท็อกซ์ (Botox) ที่แนะนำในการฉีด

  1. รอยย่นระหว่างคิ้ว= 10-25 Units
  2. ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก = 10-30 Units
  3. ริ้วรอยหางตา = 5-15 Units
  4. ริ้วรอยบริเวณโหนกคิ้ว = 2-5 Units
  5. กราม/กรอบหน้า = 40-60 Units
  6. รอยย่นบุ๋มบริเวณคาง = 2-6 Units
  7. รอยย่นข้างจมูก= 5-10 Units
  8. รอยย่นบริเวณลำคอ= 25-50 Units
  9. รอยย่นมุมปากจากการยิ้ม= 3-6 Units

คลิกที่นี่ เพื่อดูแพ็คเกจ BOTOX ของ Siam Clinic สะดวก รวดเร็วกว่า


ติดต่อสยามคลินิกภูเก็ต